ความหมายของภาษา
คำว่า “ ภาษา” เป็นคำภาษาสันสฤต แปลตามรูปศัพท์หมายถึงคำพูดหรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถสื่อสารติดต่อทำความเข้าใจกันโดยมีระเบียบของคำและเสียงเป็นเครื่องกำหนด ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ให้ความหมายของคำว่าภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูดถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน
ภาษา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ภาษาที่เป็นถ้อยคำ เรียกว่า “ วัจนภาษา” เป็นภาษาที่ใช้คำพูดโดยใช้เสียงที่เป็นถ้อยคำสร้างความเข้าใจกัน นอกจากนั้นยังมีตัวหนังสือที่ใช้แทนคำพูดตามหลักภาษาอีกด้วย
ภาษาที่ไม่เป็นถ้อยคำ เรียกว่า “ อวัจนภาษา” เป็นภาษาที่ใช้สิ่งอื่นนอกเหนือจากคำพูดและตัวหนังสือในการสื่อสาร เช่น การพยักหน้า การโค้งคำนับ การสบตา การแสดงออกบนใบหน้าที่แสดงออกถึงความเต็มใจและไม่เต็มใจ
ความสำคัญของภาษา
ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์
ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์
องค์ประกอบของภาษา
ภาษาทุกภาษาย่อมมีองค์ประกอบของภาษา โดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
-เสียง
-พยางค์และคำ
-ประโยค
-ความหมาย
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
ทฤษฎีของเพียเจต์
เพียเจต์ กล่าวว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นกระบวนการที่เกิดจากการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางที่เรียกว่า โครงสร้างทางสติปัญญา กระบวนการทำงานของระบบประสาทส่วนนี้เรียกว่า “ปฏิบัติการ”
องค์ประกอบสำคัญของกระบวนการคิด ดังนี้
1.การขยายโครงสร้าง คือการที่บุคคลได้รับประสบการณ์หรือได้รับรู้สิ่งใหม่เข้ามาในสมอง
2.การปรับเข้าสู่โครงสร้าง
คือการที่โครงสร้างทางสติปัญญามีอิทธิพลต่อการแปลความ ประสบการณ์ที่ได้รับหรือกระบวนการที่ บุคคล รับประสบการณ์ที่ได้รับให้เข้ากับความเป็นจริง
พัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้นตอน
ระยะที่ 1 ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
ระยะที่ 2 ขั้นความคิดก่อนเกิดปฏิบัติการ
ระยะที่ 3 ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม
ระยะที่ 4 ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม
ทฤษฏีของบรูเนอร์
ทฤษฏีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์
เขาเชื่อว่าการเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการทำงานภายในอินทรีย์ซึ่งมีผลต่อการทำงานทางสติปัญญาของเด็ก
บรูเนอร์ กล่าวว่า การเรียนรู้ของคนจะมีประสิทธิภาพเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับกิจกรรมทางสมอง
บรูเนอร์แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิดออกเป็น 3 ขั้น
1.ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
2.ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ
3.ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์
จิตวิทยาการเรียนรู้
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้
๑. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) คือ ผลของการเรียนรู้ที่เป็นความสามารถทางสมอง ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และประเมินผล
๒. ด้านเจตพิสัย (Affective Domain ) คือ ผลของการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึก ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท ความรู้สึก ความสนใจ ทัศนคติ การประเมินค่าและค่านิยม
๓. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือ ผลของการเรียนรู้ที่เป็นความสามารถด้านการปฏิบัติ ครอบคลุมพฤติกรรมประเภท การเคลื่อนไหว การกระทำ การปฏิบัติงาน การมีทักษะและความชำนาญ
องค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้
๑. แรงขับ (Drive) เป็นความต้องการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล เป็นความพร้อมที่จะเรียนรู้ของบุคคลทั้งสมอง ระบบประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ แรงขับและความพร้อมเหล่านี้จะก่อให้เกิดปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมที่จะชักนำไปสู่การเรียนรู้ต่อไป
๒. สิ่งเร้า (Stimulus) เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้บุคคลมีปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมตอบสนองออกมา ในสภาพการเรียนการสอน สิ่งเร้าจะหมายถึงครู กิจกรรมการสอน และอุปกรณ์การสอนต่างๆ ที่ครูนำมาใช้
๓. การตอบสนอง (Response) เป็นปฏิกิริยา หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงออกมาเมื่อบุคคลได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า ทั้งส่วนที่สังเกตเห็นได้และส่วนที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น การเคลื่อนไหว ท่าทาง คำพูด การคิด การรับรู้ ความสนใจ และความรู้สึก เป็นต้น
๔. การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นการให้สิ่งที่มีอิทธิพลต่อบุคคลอันมีผลในการเพิ่มพลังให้เกิดการเชื่อมโยง ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองเพิ่มขึ้น การเสริมแรงมีทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งมีผลต่อการเรียนรู้ของบุคคลเป็นอันมาก
ธรรมชาติของการเรียนรู้
๑. การเรียนรู้เป็นกระบวนการ
๒. การเรียนรู้ไม่ใช่วุฒิภาวะแต่การเรียนรู้อาศัยวุฒิภาวะ
๓. การเรียนรู้เกิดได้ง่าย ถ้าสิ่งที่เรียนเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน
๔. การเรียนรู้แตกต่างกันตามตัวบุคคลและวิธีการในการเรียน
การสอนภาษาแบบองค์รวม
การสอนภาษาแบบองค์รวม (Whole Language Approach) หมายถึง การสอนภาษาที่เป็นไปตามธรรมชาติ เน้นสื่อที่มีความหมาย ผู้เรียนสามารถใช้ประสบการณ์เดิมช่วยทำให้เข้าใจสื่อที่อ่านได้รวดเร็วขึ้น
หลักการสอนภาษาแบบองค์รวม
1. หลักการจัดการเรียนการสอนภาษาแบบองค์รวม
1.1 ส่งเสริมการอ่านภายในโรงเรียน
1.2 ส่งเสริมให้รักการอ่าน โดยจัดเตรียมหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ให้ตอบสนอง
1.3 ในการเรียนการสอนทั้งผู้สอนและผู้เรียนจะต้องมีจุดประสงค์ย่อยในส่วนของตนเองที่ต่างกัน
1.4 ผู้สอนต้องเน้นให้ผู้เรียนรู้จักใช้กระบวนการอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความชำนาย ประกอบกับความรู้เดิมพื้นฐาน จะทำให้สามารถพัฒนาการอ่านได้อย่างรวดเร็ว
การจัดหรือออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาแบบองค์รวม
1. ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนการจัดพื้นความรู้ของผู้เรียน
2. ผู้สอนควรจัดกิจกรรมการอ่านหนังสือเล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ผู้เรียนฟังเสมอ
3. ผู้เรียนควรมีโอกาสอ่านหนังสือทุกวัน โดยเฉพาะวรรณกรรมที่ดีมีคุณค่า
4. ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเขียนมากที่สุด โดยอาจเริ่มจากการเขียนเกี่ยวกับตนเอง
5. การเฝ้าดูพฤติกรรมของเด็กเป็น
6. การสอนภาษาแบบองค์รวม มุ่งเน้นให้ผู้เรียนร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
7. การจัดหลักสูตรการสอนภาแบบองค์รวมเป็นแนวทางการสอนที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการเรียนรู้หนังสือ
วันศุกร์ ที่ 11 ธันวาคม 2552
การจัดประสบการณ์สำหรับเด็ก
ความหมายของภาษา มี 4 ด้าน
1.ความสามารถด้านการฟัง
2.ความสามารถด้านการพูด
3.ความสามารถด้านการอ่าน
4.ความสามารถด้านการเขียน
หลักการจัดการเรียนรู้ทางภาษา
1.ครูควรมีบทบาทในการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ในการสอน
2.ภาษาประกอบด้วยทักษะ 4 ด้านคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน
3.เด็กมีปฎิสัมพันธืกับบุคคลอื่นได้ดี
*เราสามารถวัดการเรียนรู้ของเด็กได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลของเด็ก
*เด็กจะเกิดการเรียนรู้ได้ต้องเริ่มจาก การทดลอง และการปฎิบัติโยอิสระ